คุณอยากจะให้ผลตอบแทนสูงจากการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง หรือผลตอบแทนจากการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำน้อยกว่า เพราะเหตุใด ในฐานะเทรดเดอร์ นี่เป็นคำถามที่คุณอาจถามตัวเองหลายครั้งแล้ว นี่คือจุดที่อัตราส่วน Sharpe เข้ามามีบทบาท
อัตราส่วนชาร์ปคืออะไร?
อัตราส่วน Sharpe เป็นตัวชี้วัดที่ช่วยให้นักลงทุนประเมินผลตอบแทนที่ปรับตามความเสี่ยงของการลงทุน โดยจะวัดปริมาณผลตอบแทนส่วนเกินที่ได้รับต่อหน่วยความเสี่ยงที่ได้รับ โดยคำนึงถึงความผันผวนของการลงทุน อัตราส่วน Sharpe ที่สูงกว่าบ่งชี้ถึงประสิทธิภาพที่ปรับความเสี่ยงได้ดีขึ้น ทำให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินโอกาสในการลงทุน ด้วยการเปรียบเทียบอัตราส่วน Sharpe ของการลงทุนต่างๆ เทรดเดอร์ สามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลมากขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพพอร์ตการลงทุนของตนเพื่อผลตอบแทนที่ดีขึ้น
มันทำงานอย่างไร?
อัตราส่วน Sharpe คำนวณโดยการลบอัตราผลตอบแทนแบบไร้ความเสี่ยงออกจากผลตอบแทนที่คาดหวังของการลงทุน แล้วหารผลลัพธ์ด้วยค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลตอบแทนของการลงทุน สูตรมีดังนี้:
อัตราส่วนชาร์ป = (ผลตอบแทนที่คาดหวัง - อัตราปลอดความเสี่ยง) / ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ตัวอย่างเช่น ลองพิจารณาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่คาดหวัง 10% อัตราปลอดความเสี่ยง 2% และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 5% การคำนวณจะเป็น:
อัตราส่วนชาร์ป = (10% - 2%) / 5% = 1.6
ซึ่งหมายความว่าสำหรับทุกหน่วยความเสี่ยงที่ได้รับ การลงทุนสร้างผลตอบแทนส่วนเกิน 1.6% เมื่อเทียบกับอัตราปลอดความเสี่ยง อัตราส่วน Sharpe ที่สูงกว่าบ่งชี้ถึงประสิทธิภาพที่ปรับความเสี่ยงได้ดีขึ้น ทำให้เป็นตัวชี้วัดที่มีคุณค่าสำหรับการประเมินการลงทุน
เหตุใดอัตราส่วน Sharpe จึงมีความสำคัญสำหรับเทรดเดอร์
- การประเมินความเสี่ยง: เทรดเดอร์จำเป็นต้องประเมินและจัดการความเสี่ยงในการตัดสินใจลงทุน อัตราส่วน Sharpe จะพิจารณาระดับความเสี่ยง ซึ่งวัดโดยค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลตอบแทน และเปรียบเทียบกับผลตอบแทนที่คาดหวัง ช่วยให้เทรดเดอร์เข้าใจว่าผลตอบแทนที่เป็นไปได้จากการลงทุนนั้นคุ้มค่ากับความเสี่ยงหรือไม่
- การเปรียบเทียบประสิทธิภาพ: อัตราส่วน Sharpe ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเปรียบเทียบประสิทธิภาพที่ปรับความเสี่ยงของการลงทุนหรือกลยุทธ์ต่างๆ ด้วยการคำนวณอัตราส่วนสำหรับแต่ละตัวเลือก เทรดเดอร์สามารถประเมินได้อย่างเป็นกลางว่าการลงทุนใดเสนอการแลกเปลี่ยนที่ดีกว่าระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน การเปรียบเทียบนี้ช่วยในการระบุการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนสูงกว่าตามระดับความเสี่ยงที่กำหนด
- การเพิ่มประสิทธิภาพพอร์ตโฟลิโอ: เทรดเดอร์มักตั้งเป้าที่จะสร้างพอร์ตโฟลิโอที่หลากหลายซึ่งเพิ่มผลตอบแทนสูงสุดในขณะที่บริหารความเสี่ยง อัตราส่วน Sharpe ช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพพอร์ตโฟลิโอโดยการประเมินผลตอบแทนที่ปรับตามความเสี่ยงของสินทรัพย์แต่ละรายการหรือการรวมกันของสินทรัพย์ เทรดเดอร์สามารถจัดสรรเงินทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยการเลือกสินทรัพย์ที่ส่งผลเชิงบวกต่อผลตอบแทนที่ปรับตามความเสี่ยงของพอร์ตโฟลิโอโดยรวม
- การจัดการความเสี่ยง: การจัดการความเสี่ยง ที่มีประสิทธิผลเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเทรดเดอร์ในการปกป้องเงินทุนและได้รับผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ อัตราส่วน Sharpe ช่วยให้เทรดเดอร์ระบุการลงทุนหรือกลยุทธ์ที่มีระดับความเสี่ยงมากเกินไปเมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่อาจเกิดขึ้น เมื่อพิจารณาอัตราส่วนแล้ว เทรดเดอร์จะสามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลรอบด้านเกี่ยวกับการปรับสถานะ การใช้กลยุทธ์การลดความเสี่ยง หรือการกระจายพอร์ตการลงทุนของตน
- การประเมินประสิทธิภาพ: เทรดเดอร์จำเป็นต้องประเมินประสิทธิภาพของการลงทุนหรือกลยุทธ์ของตนเมื่อเวลาผ่านไป Sharpe Ratio เป็นการวัดเชิงปริมาณเพื่อประเมินผลตอบแทนที่ปรับตามความเสี่ยง และเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานหรือมาตรฐานอุตสาหกรรม ด้วยการติดตามการเปลี่ยนแปลงของอัตราส่วน เทรดเดอร์สามารถประเมินประสิทธิผลของการตัดสินใจซื้อขายของตนและระบุจุดที่ต้องปรับปรุง
สไตล์การเทรดของคุณคืออะไร?
ไม่ว่าสนามแข่งขันจะเป็นอย่างไร การรู้จักสไตล์ของคุณคือก้าวแรกสู่ความสำเร็จ
คำถามที่พบบ่อย
1. Sharpe Ratio บ่งบอกอะไร?
โดยจะบ่งชี้ว่าการลงทุนดำเนินการได้ดีเพียงใดเมื่อเทียบกับระดับความเสี่ยง
2. Sharpe Ratio ที่สูงหมายถึงอะไร?
หมายความว่าการลงทุนได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับความเสี่ยง แสดงให้เห็นว่าการลงทุนดังกล่าวให้การแลกเปลี่ยนความเสี่ยงและผลตอบแทนที่น่าสนใจ
3. Sharpe Ratio ต่ำหมายถึงอะไร?
สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าการลงทุนสร้างผลตอบแทนที่ต่ำกว่าเมื่อพิจารณาจากระดับความเสี่ยงที่ได้รับ มันบ่งบอกถึงการแลกเปลี่ยนความเสี่ยงและผลตอบแทนที่น่าดึงดูดน้อยกว่า
4. Sharpe Ratio จะเป็นลบได้หรือไม่?
ใช่ อัตราส่วน Sharpe อาจเป็นลบได้เมื่อผลตอบแทนเฉลี่ยของการลงทุนต่ำกว่าอัตราผลตอบแทนแบบไร้ความเสี่ยง ซึ่งบ่งชี้ว่าการลงทุนนั้นไม่ได้ชดเชยความเสี่ยงที่ได้รับ
5. Sharpe Ratio ใช้ได้กับการลงทุนทุกประเภทหรือไม่?
มักใช้ในการวิเคราะห์ทางการเงินและการลงทุน สามารถนำไปใช้กับการลงทุนได้หลายประเภท ทั้งหุ้น พันธบัตร กองทุน และพอร์ตการลงทุน
6. Sharpe Ratio มีข้อจำกัดอะไรบ้าง?
มันมีข้อจำกัดบางประการ โดยถือว่าผลตอบแทนเป็นไปตามการแจกแจงแบบปกติซึ่งอาจไม่ถือเป็นจริงเสมอไป นอกจากนี้ยังอาศัยข้อมูลในอดีตและอาจไม่สามารถคาดการณ์ประสิทธิภาพในอนาคตได้อย่างแม่นยำ
7. Sharpe Ratio สามารถนำไปใช้ในการบริหารจัดการพอร์ตโฟลิโอได้อย่างไร?
มีประโยชน์ในการจัดการพอร์ตโฟลิโอเนื่องจากช่วยให้นักลงทุนเพิ่มประสิทธิภาพการจัดสรรสินทรัพย์ ด้วยการเปรียบเทียบอัตราส่วนของสินทรัพย์ต่างๆ หรือการรวมกันของสินทรัพย์ ผู้ลงทุนสามารถสร้างพอร์ตการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดตามความเสี่ยง
8. Sharpe ratio ควรเป็นปัจจัยเดียวในการตัดสินใจลงทุนหรือไม่?
ไม่ ไม่ควรเป็นเพียงปัจจัยเดียวในการตัดสินใจลงทุน สิ่งสำคัญคือต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ เช่น เป้าหมายการลงทุน ระยะเวลา การกระจายความเสี่ยง และการวิเคราะห์เชิงคุณภาพของการลงทุน