เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังคงเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ตลาดหุ้น จึงสะท้อนการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ด้วยมูลค่าที่เปลี่ยนแปลงไป ในปี 2024 หุ้น Berkshire Hathaway Class A ได้สร้างชื่อให้กับตัวเองอีกครั้งในฐานะหุ้นที่มีราคาแพงที่สุด โดยมีมูลค่าเกินกว่า 550,000 ดอลลาร์ต่อหุ้น บทความนี้จะเจาะลึกว่าทำไมหุ้นนี้จึงมีราคาสูงเช่นนี้ และจะตรวจสอบหุ้นอื่นๆ ที่เป็นคู่แข่งสำคัญในโลกของหุ้นที่มีราคาแพง
หุ้นใดที่มีราคาแพงที่สุดในโลก
Berkshire Hathaway หุ้น Class A ภายใต้คำแนะนำของ Warren Buffett ถือเป็นหุ้นที่มีราคาแพงที่สุดในโลก โดยมูลค่าของหุ้นนี้เกินกว่า 550,000 ดอลลาร์ต่อหุ้นแล้ว สถานะอันทรงเกียรติของบัฟเฟตต์ในฐานะนักลงทุนในตำนาน ประกอบกับการลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากมายของบริษัท มีบทบาทสำคัญในการประเมินมูลค่านี้
นับตั้งแต่มาเป็นซีอีโอในปี 2508 บัฟเฟตต์ได้นำบริษัทผ่านพอร์ตโฟลิโอที่หลากหลาย ซึ่งรวมถึงแบรนด์ที่มีชื่อเสียง เช่น Coca-Cola, American Express และ Geico การกระจายความเสี่ยงเชิงกลยุทธ์ นี้ช่วยจัดการความเสี่ยงในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมความสำเร็จอย่างต่อเนื่องของบริษัท โดยสรุปแล้ว ชื่อเสียงของ Berkshire Hathaway กลยุทธ์การลงทุนที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว และโครงสร้างองค์กรที่เป็นเอกลักษณ์ทำให้ Berkshire Hathaway มีสถานะที่มั่นคงในฐานะหุ้นที่มีราคาแพงที่สุดในตลาด
เหตุใดหุ้น Berkshire Hathaway คลาส A จึงมีมูลค่าสูงมาก?
ปัจจัยหลายประการมีส่วนทำให้มูลค่าของ Berkshire Hathaway Class A พุ่งสูงอย่างน่าตกตะลึง:
- ชื่อเสียงของวอร์เรน บัฟเฟตต์ : ในฐานะบุคคลที่โดดเด่นในแวดวงการลงทุน ชื่อเสียงของบัฟเฟตต์สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ปรัชญาของเขาเน้นที่การระบุบริษัทที่มีมูลค่าต่ำกว่ามูลค่าจริงและถือไว้ในระยะยาว ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จ นักลงทุนจึงมีแนวโน้มที่จะจ่ายเงินเพิ่มเพื่อซื้อหุ้นในความเฉียบแหลมของเขา
- พอร์ตการลงทุนที่หลากหลาย : บริษัทได้ลงทุนเชิงกลยุทธ์ในหลายภาคส่วน รวมถึงประกันภัย การเงิน พลังงาน และสินค้าอุปโภคบริโภค การกระจายความเสี่ยงนี้ช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมและสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนของมูลค่า
- โครงสร้างองค์กรที่ไม่เหมือนใคร : แตกต่างจากบริษัทอื่นๆ จำนวนมากที่ออกหุ้นจำนวนมาก Berkshire Hathaway มีหุ้นที่ยังไม่ได้ขายจำนวนจำกัด ความขาดแคลนนี้เพิ่มความต้องการและทำให้ราคาหุ้น สูงขึ้น
องค์ประกอบเหล่านี้ร่วมกันรักษาสถานะของ Berkshire Hathaway Class A ให้เป็นหุ้นที่มีราคาแพงที่สุดในโลก เนื่องจากนักลงทุนต้องการส่วนแบ่งจากความเชี่ยวชาญของ Buffett และการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของบริษัท
ไม่มีค่าคอมมิชชั่น ไม่มีส่วนบวกเพิ่ม
Apple, Amazon, NVIDIA
31/10/2024 | 13:30 - 20:00 UTC
หุ้นที่มีราคาแพงอื่นๆ ที่น่าสังเกตในปี 2024
นอกเหนือจาก Berkshire Hathaway แล้ว ยังมีหุ้นอื่นๆ อีกหลายตัวที่ติดอันดับหุ้นที่มีราคาแพงที่สุดในโลก:
- Amazon : ด้วยมูลค่ามากกว่า 145 ดอลลาร์ต่อหุ้น Amazon ยังคงเติบโตอย่างโดดเด่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจอีคอมเมิร์ซและคลาวด์คอมพิวติ้ง
- Alphabet (Google’s Parent Company) : ปัจจุบันมีมูลค่ามากกว่า 2,800 ดอลลาร์ต่อหุ้น Alphabet เติบโตได้เนื่องจากความโดดเด่นในธุรกิจโฆษณาออนไลน์และธุรกิจที่สร้างสรรค์
- Tesla : Tesla มีมูลค่าประมาณ 270 ดอลลาร์ต่อหุ้น โดยเน้นที่ยานยนต์ไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียน ซึ่งดึงดูดนักลงทุนได้ ส่งผลให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างมาก
- Baidu : ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของจีนรายนี้มีราคาหุ้นมากกว่า 350 ดอลลาร์ต่อหุ้น ซึ่งขับเคลื่อนโดยตำแหน่งที่แข็งแกร่งในเทคโนโลยีการค้นหาและ AI
- NVR : ในฐานะผู้สร้างบ้านชั้นนำในสหรัฐอเมริกา หุ้นของ NVR มีมูลค่ามากกว่า 5,500 ดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนถึงตำแหน่งที่แข็งแกร่งในตลาด
แม้ว่าหุ้นเหล่านี้จะมีมูลค่าสูงในปัจจุบัน แต่ราคาอาจผันผวนได้ นักลงทุนควรทำการวิจัยอย่างครอบคลุมก่อนตัดสินใจ โดยพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น พลวัตของตลาด ผลงานของบริษัท และสภาพเศรษฐกิจ
การประเมินมูลค่าหุ้นที่มีราคาแพง
เมื่อประเมินมูลค่าหุ้น ควรพิจารณาตัวชี้วัดสำคัญหลายประการ:
- อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) : อัตราส่วนนี้เปรียบเทียบราคาหุ้นกับ กำไร ของบริษัทต่อหุ้น อัตราส่วน P/E ที่สูงขึ้นบ่งชี้ว่านักลงทุนเต็มใจที่จะจ่ายเงินมากขึ้นสำหรับกำไรแต่ละดอลลาร์
- กำไรต่อหุ้น (EPS) : ตัวเลขนี้แสดงถึงกำไรที่จัดสรรให้กับหุ้นที่ยังไม่ได้ขายแต่ละหุ้น EPS ที่สูงขึ้นแสดงถึง ความสามารถในการทำกำไร ที่มากขึ้น ซึ่งทำให้หุ้นน่าสนใจยิ่งขึ้น
- มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด : ตัวชี้วัดนี้วัดมูลค่ารวมของหุ้นที่ยังไม่ได้ขายของบริษัท มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่มากขึ้นอาจบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนและความเต็มใจที่จะจ่ายเงินมากขึ้นสำหรับหุ้น
- อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล : แสดงเปอร์เซ็นต์ของเงินปันผลเมื่อเทียบกับราคาหุ้น โดยให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความสามารถของบริษัทในการคืนทุนให้แก่ผู้ถือหุ้น
- อัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) : โดยจะวัดประสิทธิภาพที่บริษัทสร้างผลตอบแทนจาก equity โดยให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
แม้ว่าการประเมินมูลค่าที่สูงอาจบ่งชี้ถึงบริษัทที่แข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ได้รับประกันการลงทุนที่ดี การวิเคราะห์และการวิจัยอย่างละเอียดถี่ถ้วนถือเป็นสิ่งสำคัญก่อนตัดสินใจลงทุน เนื่องจากแนวโน้มตลาดและสภาวะโลกอาจส่งผลต่อมูลค่าหุ้น
อิทธิพลของการเก็งกำไรต่อหุ้นมูลค่าสูง
การเก็งกำไรมีบทบาทสำคัญใน การประเมิน ของหุ้นที่มีราคาสูง นักลงทุนมักจะซื้อหรือขายโดยพิจารณาจากผลการดำเนินงานในอนาคตที่คาดหวัง มากกว่าสถานะทางการเงินของบริษัทในปัจจุบัน พฤติกรรมนี้อาจทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นเกินกว่าที่ปัจจัยพื้นฐานแนะนำได้
การรายงานข่าว กระแสฮือฮาในโซเชียลมีเดีย และบุคคลมีอิทธิพลสามารถสร้างความตื่นเต้นเกี่ยวกับหุ้นบางตัวได้ ส่งผลให้ความต้องการและราคาสูงขึ้น กระแสฮือฮาดังกล่าวอาจสร้างวัฏจักรที่การซื้อเพิ่มขึ้นจะผลักดันให้ราคาสูงขึ้นอีก
จิตวิทยาของนักลงทุนยังส่งผลต่อการเก็งกำไรอีกด้วย เมื่อราคาหุ้นสูงขึ้น นักลงทุนจำนวนมากประสบกับ FOMO (Fear Of Missing Out) ทำให้พวกเขาซื้อหุ้นโดยหวังว่าจะได้รับประโยชน์จากการปรับราคาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นอีกไม่ว่าปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจะเป็นอย่างไรก็ตาม
แม้ว่าบางครั้งการเก็งกำไรอาจเน้นที่ หุ้นที่ถูกประเมินค่าต่ำกว่าราคาจริง แต่ก็มีความเสี่ยงด้วยเช่นกัน การปรับราคาอย่างรวดเร็วที่เกิดจากกระแสนิยมอาจนำไปสู่การลดลงอย่างกะทันหันหากความตื่นเต้นนั้นลดลงหรือหากผลทางการเงินไม่สามารถพิสูจน์มูลค่าที่สูงได้ นักลงทุนควรใช้ความระมัดระวังและให้ความสำคัญกับการวิจัยเพื่อตัดสินใจอย่างรอบรู้
บริบททางประวัติศาสตร์ของหุ้นราคาสูง
แม้ว่าปัจจุบัน Berkshire Hathaway Class A จะครองตำแหน่งหุ้นที่แพงที่สุด แต่ประวัติศาสตร์ก็พบว่าหุ้นอื่นๆ มีราคาที่สูงถึงเหลือเชื่อ ในปี 2007 หุ้นของ PetroChina พุ่งสูงขึ้นเป็น มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด ในช่วงเวลาสั้นๆ สู่มากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก ในเวลานั้น อย่างไรก็ตามมูลค่าของบริษัทก็ลดลงในเวลาต่อมา
บริษัทอื่นๆ ที่น่าจับตามอง ได้แก่ Naspers ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านสื่อของแอฟริกาใต้ที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นมากกว่า 5,000% ตั้งแต่ปี 2545 ถึง 2561 และ Priceline (ปัจจุบันคือ Booking Holdings) ซึ่งราคาหุ้นพุ่งสูงถึงกว่า 1,000 ดอลลาร์ต่อหุ้นในช่วงที่ธุรกิจดอตคอมเฟื่องฟู ก่อนที่จะร่วงลงอย่างหนัก
ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าแม้ราคาหุ้นจะพุ่งสูงลิ่ว แต่ราคาหุ้นก็ผันผวนได้เช่นกัน นักลงทุนต้องหมั่นตรวจสอบและวิเคราะห์ให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุน
อนาคตของหุ้นที่มีมูลค่าสูง
เมื่อมองไปข้างหน้า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงความต้องการของผู้บริโภค และการพัฒนากฎระเบียบจะส่งผลต่อการประเมินมูลค่าของหุ้นที่มีราคาสูง
ภาคส่วนหนึ่งที่มีแนวโน้มเติบโตคือพลังงานหมุนเวียน บริษัทที่เชี่ยวชาญด้านพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และโซลูชันพลังงานที่ยั่งยืนอาจประสบกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นและการประเมินมูลค่าที่สูงขึ้น เนื่องจากความคิดริเริ่มระดับโลกให้ความสำคัญกับความยั่งยืน
อีคอมเมิร์ซเป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่พร้อมจะขยายตัว ด้วยผู้บริโภคที่ซื้อของออนไลน์มากขึ้น บริษัทต่างๆ เช่น Amazon และ Alibaba อาจได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและเห็นมูลค่าของบริษัทเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายด้านกฎระเบียบที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของข้อมูลและการกำกับดูแลกิจการ การตรวจสอบ บริษัทเทคโนโลยี ที่เพิ่มมากขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อการประเมินมูลค่าของบริษัท โดยเฉพาะบริษัทที่มีข้อมูลผู้บริโภคจำนวนมาก ในที่สุด ภูมิทัศน์ของหุ้นราคาสูงจะเปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากปัจจัยต่างๆ ที่เชื่อมโยงกัน นักลงทุนควรเฝ้าระวังและรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มเหล่านี้ เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะตัดสินใจอย่างรอบคอบเกี่ยวกับพอร์ตโฟลิโอของตน
บทสรุป
สำหรับนักลงทุน การจับตาดูหุ้นที่มีราคาแพงที่สุดในโลกสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีค่าเกี่ยวกับแนวโน้มและพฤติกรรมของตลาดได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่ามูลค่าที่สูงไม่ได้บ่งชี้โดยเนื้อแท้ว่าเป็นการลงทุนที่ดี การดำเนินการวิจัยและวิเคราะห์อย่างครอบคลุมถือเป็นสิ่งสำคัญเมื่อตัดสินใจลงทุน โดยคำนึงถึงแนวโน้มตลาด ผลงานของบริษัท และบริบททางเศรษฐกิจ
แม้ว่าหุ้นราคาสูงในอดีตจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็อาจลดลงอย่างรวดเร็วได้เช่นกัน ขอแนะนำให้ระมัดระวังและการตรวจสอบอย่างรอบคอบเป็นสิ่งสำคัญในภูมิทัศน์การลงทุนที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นักลงทุนสามารถเข้าใจมูลค่าและศักยภาพในการเติบโตของบริษัทได้ดีขึ้นโดยการตรวจสอบตัวชี้วัด เช่น อัตราส่วน P/E, EPS และมูลค่าตลาด ด้วยการวิจัยอย่างรอบคอบ ศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่สำคัญมีอยู่ในขณะที่ความเสี่ยงสามารถจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ